รับมือ AEC ด้านพลังงาน
เมื่อฉบับก่อนผมได้ชี้ให้คุณผู้อ่านเห็นโอกาสของไทยใน
AEC ด้านพลังงานมาแล้ว
2 ประเด็นหลักๆ คือ
1.ของไทยก็ว่าได้เนื่องจากความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นเส้นทางโลจิสติกส์และ
โครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อประโยชน์ต่อระบบส่งและการกระจายไฟไปยังประเทศอื่นโดยผ่านประเทศไทย
2.   
เราสามารถที่จะเลือกใช้พลังงานจากประเทศไหนในกลุ่มสมาชิกได้อย่างเสรีเพราะไทยไม่สามารถผลิตพลังงานได้เองเหมือนกับชาติอื่นๆ
สิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสก็จริงทว่ากลับแฝงไว้ด้วยข้อจำกัดอุปสรรคมากมายที่ไทยต้องรับมือ AEC ด้านพลังงานโดยเฉพาะประเด็นหลังซึ่งจะต้องสัมพันธ์กับนโยบายต่างประเทศในอาเซียนซึ่งในประเด็นนี้
นายมมนูญ ศิริวรรณนักวิชาการอิสระด้านพลังงาน
ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือผ่าอนาคตพลังงานไทยในมิติ AEC  ว่าหากเราต้องพึ่งพาประเทศอื่นๆ
ย่อมส่งผลต่อนโยบายระหว่างประเทศอย่างแน่นอนเพราะเราไม่อาจจะดำเนินนโยบายแบบเก่าที่ค่อนข้างจะทื่อและสำคัญตนว่าเป็นพี่ใหญ่โดยคิดว่าตนเองมีศักดิ์ศรีเหนือกว่าคนอื่นจะด้วยเหตุผลใดๆก็ช่างโดยปรับมาเป็นการดำเนินนโยบายที่เฉียบแหลม
ชาญฉลาดมากขึ้นโดยมุ่งเน้นความร่วมมือเป็นหลักทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม
เทคโนโลยี เพราะในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนม่าร์
เวียดนาม) เรามีความเจริญมากกว่าเขาจึงจำเป็นต้องใช้จุดแข็งของเราให้เป็นประโยชน์
ผมมองว่าการ รับมือ AEC   ด้านพลังงาน สิ่งสำคัญคือนโยบายต่างประเทศของไทยต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยเดินควบคู่ไปกับเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานเพราะเราต้องพึ่งพิงมิตรประเทศเหล่านี้และมีแนวโน้มว่าเราจะต้องดูสิงค์โปรเป็นต้นแบบเพราะว่าเขาไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรแต่ทำไมถึงก้าวหน้าได้ขนาดนี้
ในขณะที่ไทยก็ไม่ได้มีแหล่งพลังงานแต่กลับมีการใช้พลังงานภายในประเทศสูงมากจนผลิตพลังงานแทบไม่ทันต่อความต้องการในประเทศจำเป็นต้องเตรียมการ รับมือ AEC  ด้านพลังงาน อย่างจริงจัง
สำหรับผมๆมองว่าการจะรับมือ AEC  ด้านพลังงาน ต้องขับเคลื่อนเรื่องความร่วมมือด้านพลังงานเราต้องเคลื่อนทั้งองคาพายัพไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง วัฒนธรรมไปพร้อมๆกัน
นอกจากมุมมองของนายมนูญ ศิริวรรณ
ในเรื่องการปรับนโยบายต่างประเทศ
ด้านหน่วยงานอื่นๆในขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมในการรับมือ AEC  ด้านพลังงาน ในหลายด้าน เช่น
การวิจัยเรื่องพลังงงานสำรองเพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิลอย่างน้ำมัน
ดร.ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่ากลุ่ม ปตท.ยังกำหนดยุทธศาสตร์และทิศทางที่ชัดเจนในด้าน
การพัฒนาพลังงานทดแทน
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลที่ต้องการลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศลดผลกระทบที่เกิดจากความผันผวนด้านราคาจนส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยกลุ่ม  ปตท.
ได้ปรับนโยบายด้านการวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทน
โดยได้น้อมนำเอาแนวพระราชดำริในการพัฒนาพลังงานทดแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ที่ทรงพระราชดำริไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 มาเป็นแนวทางสำหรับยึดถือและปฏิบัติในการคิดค้นวิจัยตลอดมา
จนนำสู่ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในหลายๆ ด้าน
เช่น สามารถพัฒนาการใช้  “ก๊าซโซฮอลล์”
จากอ้อย มันสำปะหลัง  และ “ไบโอดีเซล” จากน้ำมันปาล์ม ในเชิงพาณิชย์
ที่นอกจากจะช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศแล้วยังช่วยให้ประเทศไทยพึ่งพาทรัพยากรจากพืชที่มีในประเทศได้มากขึ้น
ขณะเดียวกันก็ช่วยแก้ปัญหา อ้อยหรือปาล์ม
ราคาตกต่ำ นำมาซึ่งรายได้
ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนส่วนใหญ่พร้อมกับการใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น  
ปัจจุบันกลุ่ม ปตท.
ยังเร่งดำเนินการวิจัยและพัฒนาไบโอดีเซลจากสาหร่ายเพื่อนำมาเป็นพลังงานทดแทนที่สำคัญในอนาคต
ส่วนในด้านการลงทุนเพื่อรับมือ AEC  ด้านพลังงาน นางอัญชลี ชวนิชย์  อดีต ประธานกรรมการ
กฟผ.กล่าวไว้ว่าสำหรับประเด็นเรื่องการลงทุนสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าในเมืองไทยอาจจะเป็นเรื่องยาก
คงต้องไปมองประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
ที่เขาได้เปรียบในเรื่องของการมีน้ำและสร้างเขื่อนเพื่อผลิตงานไฟฟ้าโดยตรงโดยเฉพาะในลาวและพม่า
เราก็คงต้องไปซื้อพลังงานดังกล่าวจากเพื่อนบ้านเพราะว่าต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากน้ำยังค่อนข้างต่ำ
“วันนี้บริษัทลูกของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเข้าไปลงทุนในประเทศลาวเพื่อผลิตไฟฟ้าทว่าเป็นการลงทุนที่สูงมากหลายหมื่นล้านไม่ว่าจะเป็นโครงการที่ไชยบุรี 
เขื่อนน้ำงึม
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหุ้นส่วนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่นหรือแม้กระทั่งรัฐบาลลาว 
สรุปแล้วเรื่องการจัดหาไฟฟ้าส่วนแรกคือการหาจากในประเทศ จากนั้นจึงร่วมทุนสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้านแล้วซื้อไฟกลับมา”
คุณผู้อ่านครับนี่คือภาพรวมๆของการรับมือ AEC ด้านพลังงาน ในขณะนี้
สำหรับฉบับหน้าผมจะพาคุณผู้อ่านไปพบกับ Asean Energy Company ในเมืองไทย สำหรับวันนี้สวัสดีครับ


0 ความคิดเห็น: