โอกาสใน AEC ด้านพลังงาน
เมื่อฉบับก่อนผมได้พาทุกท่านไปเยี่ยมชมโครงการการลงทุนใน
AEC มาแล้ว 
ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เดินหน้าไปเกินครึ่งแล้วฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานใน
AEC คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เมื่อโครงสร้างเหล่านี้พร้อมประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ใช้พลังงานมากเป็นอันดับต้นๆของ
AEC ย่อมถือว่าเป็นโอกาส
AECของไทยก็ว่าได้เนื่องจากความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นเส้นทางโลจิสติกส์
และ โครงสร้างพื้นฐาน ที่เอื้อประโยชน์ต่อระบบส่งและการกระจายไฟไปยังประเทศอื่นโดยผ่านประเทศไทย
แม้ว่าวันนี้เราจะยังไม่ได้บริหารจัดการทั้งอาเซียน
ทว่าการเปิด AEC   ก็อาจจะเป็นโอกาส
AECที่จะทำให้เราได้มีโอกาสบริหารจัดการได้ทั้งอาเซียนเพราะไทยอยู่ตรงกลาง
เช่น ระบบส่งภายในประเทศของเมียนมาร์อาจะมีปัญหาหรือไม่ครอบคลุม
เราสามารถเข้าไปช่วยเขาได้ในพื้นที่ๆมีชายแดนติดกัน
ประเทศลาวซึ่งภูมิประเทศจะทอดตัวยาวและมีภูเขาสูงมาก
ที่สำคัญโรงงานผลิตไฟของเขาอยู่ทางเหนือไม่ว่าจะเป็นน้ำงึม1
หรือ น้ำงึม 2
ปัญหาคือระบบส่งไปสู่ลาวใต้อาจมีปัญหาก็จำเป็นต้องใช้ไฟจากทางอุบลราชธานี
นอกจากนี้ในอนาคต ชาติเพื่อนบ้านที่ยังผลิตไฟฟ้าไม่ทันอาจจะต้องปรับเปลี่ยนบางอย่าง 
จากเดิมที่ต้องใช้โรงไฟฟ้าสำรองในช่วงเวลาที่ใช้ไฟมากก็อาจจะเปลี่ยนเป็นการ
“สับเปลี่ยนการใช้ไฟ”  ทดแทน ( 
เวลาใช้ไฟสูงสุดของแต่ละประเทศจะคนละช่วงเวลากันโดยประเทศไทยจะใช้ไฟสูงสุดช่วงบ่าย
2 โมง 
นั่นหมายความว่าเมื่อถึงบ่าย 2 ไทยก็จะดึงไฟจากลาวหรือพม่ามาใช้
และเมื่อถึงเวลาที่ชาติเหล่านั้นใช้ไฟสูงสุดเช่น บ่าย 3
โมง ไทยต้องคืนไฟให้กับประเทศเหล่านั้นได้) 
ทำให้ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มแต่นั่นหมายความว่า Asian Grid  (แผนการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของอาเซียนโดยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตในชาติอาเซียน) 
จะต้องบรรลุตามข้อตกลงซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมากและมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบชัดเจน
ที่สำคัญเมื่อเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านโตและใช้พลังงานเยอะในขณะที่ระบบส่งยังไม่พร้อมก็จะเป็นโอกาสของไทยที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าวเพราะภายหลังจากที่เปิด
AEC ทุกชาติต้องเกื้อกูลกันในเรื่องของพลังงานนี่คือโอกาส
AECของไทยที่พอจะมองเห็นภาพได้ในขณะนี้ซึ่งชาติสมาชิกในอาเซียนต่างมองเห็นโอกาส
AECที่จะพัฒนาพลังงานทางเลือกร่วมกัน
โอกาส
AEC ของไทย ประการสุดท้ายคือ
ตลาดพลังงานของอาเซียนไม่มีกำแพงภาษี ไม่มีการกีดกัน
การส่งออกและนำเข้าทำกันโดยเสรีมาโดยตลอด 
เป็นธุรกิจที่ต้องเน้นความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันซึ่งต่างจากสินค้าตัวอื่นที่ต้องมีการแข่งขัน
เรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบ
หากดูผิวเผินจะมองเห็นว่าเป็น โอกาส
AEC เนื่องจากเราสามารถที่จะเลือกใช้พลังงานจากประเทศไหนในกลุ่มสมาชิกได้อย่างเสรี(แต่ต้องดูต้นทุน)
แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า ชาติสมาชิกซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตพลังงานอย่างแท้จริง
ในขณะนี้ได้แก่ ลาว, พม่า, อินโดนิเซีย,มาเลเซีย,บรูไน
และในอนาคตก็จะเป็นเวียดนาม
ทว่ากลุ่มประเทศผู้ใช้พลังงาน(ผลิตได้น้อยหรือกำลังพัฒนาด้านพลังงาน)
ได้แก่  ไทย ,ฟิลิปปินส์,สิงค์โปร,กัมพูชา  หากมองผิวเผินจะพบว่ามีผู้ผลิตมากกว่าผู้ใช้แต่ในระยะยาว
เขาอาจจะไม่เหลือส่งออกเพราะความต้องการภายในประเทศที่มากขึ้นตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะพม่า
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาการใช้พลังงานและการหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ
เพราะเราเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ในภูมิภาคแต่ไม่สามารถผลิตพลังงานใช้ได้เองไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน
,ก๊าซ, พลังงานน้ำ ,พลังงานลม
หรือแม้กระทั่งพลังงานนิวเคลียร์ นี่คือปัญหาของไทยที่มองเห็นอย่างชัดเจนในขณะนี้
นั่นหมายความว่าการเปิด AEC จึงเป็นโอกาสของไทยในด้านพลังงานที่จะทำให้ไม่ต้องไปลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือถ่านหิน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมลภาวะเป็นพิษแต่จะหันไปใช้นโยบายพึ่งพิงพลังงานจากต่างประเทศซึ่งรอขายไทย
ไม่ว่าจะเป็นจีนตอนใต้ ,ลาว,เวียดนาม
แม้จะมีโอกาส
AECแต่ทุกโอกาสกลับเต็มไปด้วยเงื่อนไขต่างๆ
ที่ไทยต้องมีแผนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ฉะนั้นฉบับหน้าผมจะพาคุณผู้อ่านศึกษาในแนวทางหรือแผนรับมือ AEC สวัสดีครับ


0 ความคิดเห็น: