รับมือ AEC ด้านพลังงาน

21:06 oonliner 0 Comments

เมื่อฉบับก่อนผมได้ชี้ให้คุณผู้อ่านเห็นโอกาสของไทยใน AEC ด้านพลังงานมาแล้ว 2 ประเด็นหลักๆ คือ
1.ของไทยก็ว่าได้เนื่องจากความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นเส้นทางโลจิสติกส์และ โครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อประโยชน์ต่อระบบส่งและการกระจายไฟไปยังประเทศอื่นโดยผ่านประเทศไทย
2.    เราสามารถที่จะเลือกใช้พลังงานจากประเทศไหนในกลุ่มสมาชิกได้อย่างเสรีเพราะไทยไม่สามารถผลิตพลังงานได้เองเหมือนกับชาติอื่นๆ
สิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสก็จริงทว่ากลับแฝงไว้ด้วยข้อจำกัดอุปสรรคมากมายที่ไทยต้องรับมือ AEC ด้านพลังงานโดยเฉพาะประเด็นหลังซึ่งจะต้องสัมพันธ์กับนโยบายต่างประเทศในอาเซียนซึ่งในประเด็นนี้ นายมมนูญ ศิริวรรณนักวิชาการอิสระด้านพลังงาน ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือผ่าอนาคตพลังงานไทยในมิติ AEC  ว่าหากเราต้องพึ่งพาประเทศอื่นๆ ย่อมส่งผลต่อนโยบายระหว่างประเทศอย่างแน่นอนเพราะเราไม่อาจจะดำเนินนโยบายแบบเก่าที่ค่อนข้างจะทื่อและสำคัญตนว่าเป็นพี่ใหญ่โดยคิดว่าตนเองมีศักดิ์ศรีเหนือกว่าคนอื่นจะด้วยเหตุผลใดๆก็ช่างโดยปรับมาเป็นการดำเนินนโยบายที่เฉียบแหลม ชาญฉลาดมากขึ้นโดยมุ่งเน้นความร่วมมือเป็นหลักทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี เพราะในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนม่าร์ เวียดนาม) เรามีความเจริญมากกว่าเขาจึงจำเป็นต้องใช้จุดแข็งของเราให้เป็นประโยชน์
ผมมองว่าการ รับมือ AEC   ด้านพลังงาน สิ่งสำคัญคือนโยบายต่างประเทศของไทยต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยเดินควบคู่ไปกับเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานเพราะเราต้องพึ่งพิงมิตรประเทศเหล่านี้และมีแนวโน้มว่าเราจะต้องดูสิงค์โปรเป็นต้นแบบเพราะว่าเขาไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรแต่ทำไมถึงก้าวหน้าได้ขนาดนี้
ในขณะที่ไทยก็ไม่ได้มีแหล่งพลังงานแต่กลับมีการใช้พลังงานภายในประเทศสูงมากจนผลิตพลังงานแทบไม่ทันต่อความต้องการในประเทศจำเป็นต้องเตรียมการ รับมือ AEC  ด้านพลังงาน อย่างจริงจัง
สำหรับผมๆมองว่าการจะรับมือ AEC  ด้านพลังงาน ต้องขับเคลื่อนเรื่องความร่วมมือด้านพลังงานเราต้องเคลื่อนทั้งองคาพายัพไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมไปพร้อมๆกัน





นอกจากมุมมองของนายมนูญ ศิริวรรณ ในเรื่องการปรับนโยบายต่างประเทศ ด้านหน่วยงานอื่นๆในขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมในการรับมือ AEC  ด้านพลังงาน ในหลายด้าน เช่น การวิจัยเรื่องพลังงงานสำรองเพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิลอย่างน้ำมัน
ดร.ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ากลุ่ม ปตท.ยังกำหนดยุทธศาสตร์และทิศทางที่ชัดเจนในด้าน การพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลที่ต้องการลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศลดผลกระทบที่เกิดจากความผันผวนด้านราคาจนส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยกลุ่ม  ปตท. ได้ปรับนโยบายด้านการวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทน โดยได้น้อมนำเอาแนวพระราชดำริในการพัฒนาพลังงานทดแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงพระราชดำริไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 มาเป็นแนวทางสำหรับยึดถือและปฏิบัติในการคิดค้นวิจัยตลอดมา
จนนำสู่ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในหลายๆ ด้าน เช่น สามารถพัฒนาการใช้  “ก๊าซโซฮอลล์จากอ้อย มันสำปะหลัง  และ ไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์ม ในเชิงพาณิชย์ ที่นอกจากจะช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศแล้วยังช่วยให้ประเทศไทยพึ่งพาทรัพยากรจากพืชที่มีในประเทศได้มากขึ้น
ขณะเดียวกันก็ช่วยแก้ปัญหา อ้อยหรือปาล์ม ราคาตกต่ำ นำมาซึ่งรายได้ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนส่วนใหญ่พร้อมกับการใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น   ปัจจุบันกลุ่ม ปตท. ยังเร่งดำเนินการวิจัยและพัฒนาไบโอดีเซลจากสาหร่ายเพื่อนำมาเป็นพลังงานทดแทนที่สำคัญในอนาคต
ส่วนในด้านการลงทุนเพื่อรับมือ AEC  ด้านพลังงาน นางอัญชลี ชวนิชย์  อดีต ประธานกรรมการ กฟผ.กล่าวไว้ว่าสำหรับประเด็นเรื่องการลงทุนสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าในเมืองไทยอาจจะเป็นเรื่องยาก คงต้องไปมองประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ที่เขาได้เปรียบในเรื่องของการมีน้ำและสร้างเขื่อนเพื่อผลิตงานไฟฟ้าโดยตรงโดยเฉพาะในลาวและพม่า เราก็คงต้องไปซื้อพลังงานดังกล่าวจากเพื่อนบ้านเพราะว่าต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากน้ำยังค่อนข้างต่ำ
วันนี้บริษัทลูกของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเข้าไปลงทุนในประเทศลาวเพื่อผลิตไฟฟ้าทว่าเป็นการลงทุนที่สูงมากหลายหมื่นล้านไม่ว่าจะเป็นโครงการที่ไชยบุรี  เขื่อนน้ำงึม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหุ้นส่วนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่นหรือแม้กระทั่งรัฐบาลลาว  สรุปแล้วเรื่องการจัดหาไฟฟ้าส่วนแรกคือการหาจากในประเทศ จากนั้นจึงร่วมทุนสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้านแล้วซื้อไฟกลับมา
คุณผู้อ่านครับนี่คือภาพรวมๆของการรับมือ AEC ด้านพลังงาน ในขณะนี้ สำหรับฉบับหน้าผมจะพาคุณผู้อ่านไปพบกับ Asean Energy Company ในเมืองไทย สำหรับวันนี้สวัสดีครับ


0 ความคิดเห็น:

โอกาสใน AEC ด้านพลังงาน

20:55 oonliner 0 Comments




เมื่อฉบับก่อนผมได้พาทุกท่านไปเยี่ยมชมโครงการการลงทุนใน AEC มาแล้ว  ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เดินหน้าไปเกินครึ่งแล้วฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานใน AEC คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เมื่อโครงสร้างเหล่านี้พร้อมประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ใช้พลังงานมากเป็นอันดับต้นๆของ AEC ย่อมถือว่าเป็นโอกาส AECของไทยก็ว่าได้เนื่องจากความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นเส้นทางโลจิสติกส์ และ โครงสร้างพื้นฐาน ที่เอื้อประโยชน์ต่อระบบส่งและการกระจายไฟไปยังประเทศอื่นโดยผ่านประเทศไทย

แม้ว่าวันนี้เราจะยังไม่ได้บริหารจัดการทั้งอาเซียน ทว่าการเปิด AEC   ก็อาจจะเป็นโอกาส AECที่จะทำให้เราได้มีโอกาสบริหารจัดการได้ทั้งอาเซียนเพราะไทยอยู่ตรงกลาง เช่น ระบบส่งภายในประเทศของเมียนมาร์อาจะมีปัญหาหรือไม่ครอบคลุม เราสามารถเข้าไปช่วยเขาได้ในพื้นที่ๆมีชายแดนติดกัน

ประเทศลาวซึ่งภูมิประเทศจะทอดตัวยาวและมีภูเขาสูงมาก ที่สำคัญโรงงานผลิตไฟของเขาอยู่ทางเหนือไม่ว่าจะเป็นน้ำงึม1 หรือ น้ำงึม 2 ปัญหาคือระบบส่งไปสู่ลาวใต้อาจมีปัญหาก็จำเป็นต้องใช้ไฟจากทางอุบลราชธานี

นอกจากนี้ในอนาคต ชาติเพื่อนบ้านที่ยังผลิตไฟฟ้าไม่ทันอาจจะต้องปรับเปลี่ยนบางอย่าง  จากเดิมที่ต้องใช้โรงไฟฟ้าสำรองในช่วงเวลาที่ใช้ไฟมากก็อาจจะเปลี่ยนเป็นการ สับเปลี่ยนการใช้ไฟ  ทดแทน (  เวลาใช้ไฟสูงสุดของแต่ละประเทศจะคนละช่วงเวลากันโดยประเทศไทยจะใช้ไฟสูงสุดช่วงบ่าย 2 โมง  นั่นหมายความว่าเมื่อถึงบ่าย 2 ไทยก็จะดึงไฟจากลาวหรือพม่ามาใช้ และเมื่อถึงเวลาที่ชาติเหล่านั้นใช้ไฟสูงสุดเช่น บ่าย 3 โมง ไทยต้องคืนไฟให้กับประเทศเหล่านั้นได้)  ทำให้ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มแต่นั่นหมายความว่า Asian Grid  (แผนการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของอาเซียนโดยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตในชาติอาเซียน)  จะต้องบรรลุตามข้อตกลงซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมากและมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบชัดเจน

ที่สำคัญเมื่อเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านโตและใช้พลังงานเยอะในขณะที่ระบบส่งยังไม่พร้อมก็จะเป็นโอกาสของไทยที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าวเพราะภายหลังจากที่เปิด AEC ทุกชาติต้องเกื้อกูลกันในเรื่องของพลังงานนี่คือโอกาส AECของไทยที่พอจะมองเห็นภาพได้ในขณะนี้ซึ่งชาติสมาชิกในอาเซียนต่างมองเห็นโอกาส AECที่จะพัฒนาพลังงานทางเลือกร่วมกัน
โอกาส AEC ของไทย ประการสุดท้ายคือ ตลาดพลังงานของอาเซียนไม่มีกำแพงภาษี ไม่มีการกีดกัน การส่งออกและนำเข้าทำกันโดยเสรีมาโดยตลอด  เป็นธุรกิจที่ต้องเน้นความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันซึ่งต่างจากสินค้าตัวอื่นที่ต้องมีการแข่งขัน เรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบ

หากดูผิวเผินจะมองเห็นว่าเป็น โอกาส AEC เนื่องจากเราสามารถที่จะเลือกใช้พลังงานจากประเทศไหนในกลุ่มสมาชิกได้อย่างเสรี(แต่ต้องดูต้นทุน) แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า ชาติสมาชิกซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตพลังงานอย่างแท้จริง ในขณะนี้ได้แก่ ลาว, พม่า, อินโดนิเซีย,มาเลเซีย,บรูไน และในอนาคตก็จะเป็นเวียดนาม
ทว่ากลุ่มประเทศผู้ใช้พลังงาน(ผลิตได้น้อยหรือกำลังพัฒนาด้านพลังงาน) ได้แก่  ไทย ,ฟิลิปปินส์,สิงค์โปร,กัมพูชา  หากมองผิวเผินจะพบว่ามีผู้ผลิตมากกว่าผู้ใช้แต่ในระยะยาว เขาอาจจะไม่เหลือส่งออกเพราะความต้องการภายในประเทศที่มากขึ้นตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะพม่า

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาการใช้พลังงานและการหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ เพราะเราเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ในภูมิภาคแต่ไม่สามารถผลิตพลังงานใช้ได้เองไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ,ก๊าซ, พลังงานน้ำ ,พลังงานลม หรือแม้กระทั่งพลังงานนิวเคลียร์ นี่คือปัญหาของไทยที่มองเห็นอย่างชัดเจนในขณะนี้
นั่นหมายความว่าการเปิด AEC จึงเป็นโอกาสของไทยในด้านพลังงานที่จะทำให้ไม่ต้องไปลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือถ่านหิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมลภาวะเป็นพิษแต่จะหันไปใช้นโยบายพึ่งพิงพลังงานจากต่างประเทศซึ่งรอขายไทย ไม่ว่าจะเป็นจีนตอนใต้ ,ลาว,เวียดนาม

แม้จะมีโอกาส AECแต่ทุกโอกาสกลับเต็มไปด้วยเงื่อนไขต่างๆ ที่ไทยต้องมีแผนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ฉะนั้นฉบับหน้าผมจะพาคุณผู้อ่านศึกษาในแนวทางหรือแผนรับมือ AEC สวัสดีครับ


0 ความคิดเห็น: