เรื่องน่ารู้ หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคที่คนไข้และคนรอบตัวควรระวัง!!

01:48 oonliner 0 Comments


หัวใจจะสูบฉีดเลือด หรือที่เรารู้สึกว่า “หัวใจเต้น” ได้เป็นปกตินั้น ต้องมีกระแสไฟฟ้ากระตุ้นอยู่อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อเป็นทารกอยู่ในท้องแม่

หัวใจได้รับกระแสไฟฟ้ามากระตุ้นที่ส่วนบนแล้วจึงมีการกระจายกระแสไฟฟ้าไปยังส่วนต่างๆ เพื่อหัวใจทั้งสี่ห้องจะได้รับสัญญาณให้กล้ามเนื้อหดตัวและคลายตัวในจังหวะที่ประสานกัน การนำไฟฟ้าของหัวใจที่เกิดขึ้นนี้จะ ผ่านไปตามทางเดินไฟฟ้าซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเฉพาะต่างจากกล้ามเนื้อหัวใจที่มีหน้าที่สูบฉีดเลือด เนื้อเยื่อเหล่านี้เหมือนกับสายไฟที่เดินอยู่ตามผนังหรือฝ้าเพดานในบ้านนั่นเอง
ประเภทของ หัวใจเต้นผิดปกติ ความปกติเรื่องไฟฟ้า ไฟฟ้าของหัวใจมีหลายแบบ  บางครั้งเกิดมีความผิดปรกติของจุดกำเนิดไฟฟ้าหรือการนำไฟฟ้าในหัวใจขึ้น  ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ  เจ้าของหัวใจจะมีอาการใจเต้น  ใจสั่น  บางครั้งอาจมีอาการหน้ามืด  เป็นลม  และวิงเวียนศีรษะ  ผู้ป่วยกลุ่มนี้เรียกว่า “พวกหัวใจรวนเร” เพราะชีพจรเดี๋ยวเต้นเร็วเดี๋ยวเต้นช้าไม่สม่ำเสมอ

ความผิดปกติของการเดินของไฟฟ้าในหัวใจอีกประเภทหนึ่งซึ่งมักเกิดในคนสูงอายุ คือ เมื่อจุดกำเนิดไฟฟ้าหัวใจที่เป็นแหล่งให้พลังงานไฟฟ้าแก่หัวใจเริ่มอ่อนแรงลง คล้ายๆ กับแบตเตอรี่ประจำตัวที่กำลังจะหมดไฟลง   ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีหัวใจเต้นช้าลงๆ เรื่อยๆ ช้าลงมากจนเลือดออกจากหัวใจไม่เพียงพอทำให้สมองขาดเลือดมีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม  หรือบางครั้งถ้ารุนแรงอาจเกิดอัมพาตหรืออัมพฤกษ์ตามมาก็ได้ผู้ป่วยกลุ่มนี้เรียกว่า  “พวกหัวใจอ่อน”เพราะชีพจรเต้นช้า หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้นเอง
พวกหัวใจรวนเร  ความผิดปกติอาจเกิดขึ้นได้จากสองแบบ  ลักษณะแรกเกิดจากความไม่สามัคคีกันของจุดกำเนิดไฟฟ้าของหัวใจ  แทนที่จะทำงานส่งสัญญาณเพียงที่เดียว กลับมีจุดกำเนิดไฟฟ้าหลายๆแห่งขึ้นในหัวใจ  แย่งกันทำงานส่งสัญญาณให้หัวใจทำงานบีบตัวไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอกัน  เพราะได้สัญญาณมาจากจุดกำเนิดไฟฟ้าหลายๆ จุดในเวลาใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยแบบนี้นอกจากมีใจรวนเรแล้ว   น่าจะเป็นกลุ่มที่เรียกว่า  “พวกหลายใจ”   เพราะมีจุดกำเนิดไฟฟ้าของหัวใจหลายๆ แห่ง

พวกใจรวนเรอีกกลุ่มหนึ่ง  เกิดจากการลัดวงจรของการนำไฟฟ้าในหัวใจ  ซึ่งเหมือนกับการลัดวงจรของไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นภายในบ้าน  เมื่อมีการลัดวงจรแล้วแทนที่การนำของกระแสไฟฟ้าจะสม่ำเสมอต่อเนื่องกันไป  กระแสไฟฟ้าที่ลัดวงจรนั้นก็จะส่งสัญญาณย้อนทางกลับไปยังจุดกำเนิดไฟฟ้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้จุดกำเนิดไฟฟ้าส่งกระแสไฟฟ้าออกมากระตุ้นหัวใจใหม่เร็วกว่าปกติ หรือทำให้การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ  ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเรียกว่า “พวกหัวใจซ้ำซ้อน”
การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดปกติ
การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดปกติในสมัยก่อนมีแต่เพียงการรักษาด้วยยาเท่านั้น ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยเหล่านี้จะควบคุมอาการไม่ได้ผล 100% แถมส่วนใหญ่มีผลข้างเคียง บางครั้งทำให้เกิดโรคหัวใจเต้นผิดปรกติในลักษณะอื่นๆ ได้อีกด้วย

จนกระทั่งไม่นานมานี้   มีวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่สามารถสอดใส่สายสวนหัวใจ ลักษณะเหมือนสายไฟเข้าไปตามหลอดเลือดดำที่บริเวณขาหนีบ (คล้าย ๆ กับการสวนฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ) โดยเมื่อสอดสายนี้ขึ้นไปที่หัวใจตามจุดต่างๆและวัดดูการนำไฟฟ้าภายในหัวใจแล้ว  หากพบว่ามีการลัดวงจรหรือจุดกำเนิดไฟฟ้าที่ผิดปรกติในหัวใจ  แพทย์โรคหัวใจซึ่งเป็นผู้ชำนาญเรื่องการนำไฟฟ้า จะสามารถให้การรักษาโดยส่งเคลื่อนสัญญาณวิทยุ (radio frequency) ไปตามสาย ดังกล่าว เกิดพลังงานไปตามสาย เพื่อตัดจุดที่มีการลัดวงจรของกระแสไฟฟ้า หรือ จุดกำเนิดไฟฟ้าที่ผิดปรกติออกไปได้ (ฟังดูแล้วเหมือนนิยายจีนกำลังภายใน”เวลาจี้จุด”)

การรักษาดังกล่าวเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและทำกันบ่อยในปัจจุบันให้ผลดีกว่าการรักษาด้วยยาในระยะยาว  โดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยา ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิต การเต้นผิดปรกติของหัวใจนี้ ถ้าทิ้งไว้นานๆอาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมาได้มาก เช่น อาจเกิดอัมพาต-อัมพฤกษ์  บางครั้งอาจเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ (เมื่อโชคไม่ดี)  ที่หลุดออกจากหัวใจไปอุดตามหลอดเลือดต่างๆ  ทำให้หลอดเลือดอุดตันเฉียบพลันได้  หรือถ้าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติอยู่นานๆ ตลอดเวลาก็อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงลง  เกิดภาวะหัวใจวายได้เหมือนกัน  

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.phyathai.com/medicalcenterdetail_article/1/65/PYT2/th
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากโรงพยาบาลพญาไท

0 ความคิดเห็น:

โรคควรระวัง!! มะเร็งกระเพาะอาหาร อาจเกิดขึ้นได้ถ้ากินอาหารอย่างประมาท

19:46 oonliner 0 Comments





อาการของแต่ละบุคคลย่อมมีความแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ระยะแรกของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอาจไม่มีอาการแสดงหรือมีอาการโดยทั่วไปไม่เฉพาะเจาะจง

มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นโรคที่ไม่สามารถทราบสาเหตุที่แน่ชัด โดยส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงจากเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบ็กเตอร์ไพลอไร (Helicobacter Pylori:HP) ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือโรคกระเพาะ ซึ่งเมื่อเป็นเรื้อรัง จะทำให้เป็นโรคนี้มากขึ้น ลักษณะอาการของมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นอย่างไร

มะเร็งกระเพาะอาหาร
อาการของแต่ละบุคคลย่อมมีความแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ระยะแรกของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอาจไม่มีอาการแสดงหรือมีอาการโดยทั่วไปไม่เฉพาะเจาะจงอาจคล้ายกับโรคอื่นๆ รู้สึกอาหารไม่ย่อย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียหรือท้องผูก ท้องอืดหลังกินอาหาร ไม่อยากอาหาร สำหรับอาการมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะลุกลาม อาจมีอาการอ่อนเพลีย อาจเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักลด

ปัจจัยเสี่ยงของโรคประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ปัจจัยเสี่ยงที่มีความเกี่ยวของกับการเกิดเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมากขึ้น ผู้ชายมีความเสี่ยงที่จะเป็นมากกว่าผู้หญิง การรับประทานอาหารปิ้งย่าง หมักดองอาจทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ในขณะเดียวกันการรับประทานผักและผลไม้ก็อาจจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ การติดเชื้อแบคทีเรีย H. Pylori ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร เมื่อติดเชื้อนี้จะทำให้มีอาการอักเสบและเกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหารจึงเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร การสูบบุหรี่ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้สูงขึ้น หรือจากโรคต่างๆ เช่น กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง และโรคเลือดบางชนิด

การตรวจวินิจฉัยโรค
ลักษณณะตามอาการที่กล่างมาข้างต้นจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดด้วยการส่องกล้อง เพื่อให้เห็นภายในกระเพาะอาหาร และตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ, การอัลตราซาวด์ ทำให้เห็นความลึกของกระเพาะอาหาร หรือการกระจายของมะเร็ง, กลืนแป้งสารทึบแสงทำการเอ็กซเรย์จึงจะสามารถเห็นความผิดปกติ เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ จึงจะเห็นตำแหน่งของโรคและการกระจายของโรคได้ละเอียดมากกว่าการเอ็กซเรย์ธรรมดา

ขั้นตอนการรักษาทำได้อย่างไร
สำหรับการรักษา แนวทางเลือกการรักษาขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่งของก้อนและระยะการแพร่กระจายของโรค การรักษาประกอบไปด้วยการผ่าตัดรังสีรักษา และการให้ยาเคมีบำบัด

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากโรงพยาบาลเปาโล

0 ความคิดเห็น: