ตามส่อง 5 ครีมกันแดดหน้า ที่จะไม่ทำให้คุณสาวๆต้องผิดหวังแน่นอน


          ถ้าพูดถึงหน้าร้อนในประเทศไทย ใครๆคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มันร้อนแรงแค่ไหน สาวๆหรือแม้แต่หนุ่มๆเองก็เถอะ ถามหาครีมกันแดดให้ควักใช่ไหมหละคะ ทั้งครีมกันแดดหน้าหรือกันแดดตัว วันนี้เราเลยจะพาไปส่องดูรีวิวของครีมเหล่านี้กันค่ะ

ทดสอบเนื้อครีมและคุณสมบัติ

SPECTRABAN : สีเนื้อครีมขาวจั๊วะมากที่สุดเลยจ๊ะ ครีมค่อนข้างมีความเหนียวและเข้มข้นมาก จุดเด่นของนางคือ เป็นสูตรแอนตี้ UVA-UVB ชะลอเรื่องของริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ ได้ด้วยนะ แถมมีวิตามินE ที่ช่วยปกป้องผิว ให้ร้อยพ้นจาก UV ทั้งหลายจ้า ทาได้ทั้งหน้าและตัวนะจ๊ะ

GARNIER : เนื้อครีมออกสีขาวขุ่นๆ สีธรรมชาติ เหนียวและข้นเล็กน้อย จุดเด่น ปกป้อง รังสีUVA และ UVA 1 สาเหตุของความหมองคลํ้า ได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง เลยนะจ๊ะ มีวิตามินE พร้อมการบำรุงผิวไปในตัวด้วยจ้า

NIVEA : เนื้อครีมออกสีนวลๆ ไม่เหนียว เนื้อบางเบามาก คุณสมบัติพิเศษ มีสารสกัดL-Carnitine ลดความมันในรูขุมขน เริ่ดเลยจ้า แถมยังปกป้องรังสี UVB , UVA2 และUVA1 เรียกได้ว่า ครบถ้วนเลยจ้ะ มีการฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายจากแดดไปในตัวด้วยนะจ๊ะ และสาวๆที่แต่งหน้าทุกวัน ก็ไม่ต้องกังวลเลยจ้า ด้วยสูตร Non-comedogenic ทำให้ไม่อุดตันรูขุมขนจ้า

BIORE : เนื้อครีมสีเหลืองนิดหน่อย มีความเหลวมาก ด้วยความที่เป็นสูตรนํ้า เนื้อครีมเลยมีความบางเบาพอใช้จ้า ช่วยปกป้องรังสี UVA และ UVB ช่วยลดริ้วรอยก่อนวัย และ ป้องกันการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ด้วยนะจ๊ะ
KA : เนื้อครีมสีขาวขุ่น มีความเหนียวข้น พอๆกับ SPECTRABAN เลยจ้ะ ดูแลผิวหน้าด้วยสูตร Oil control เนื้อครีมไม่เหนียวเหนอะหนะ ปกป้องรังสี UVA และ UVB มีวิตามิน B บำรุงผิวหน้าให้ขาวใสด้วยจ้า

ทดสอบความเนียนและซึมเร็ว

SPECTRABAN : เนื้อครีมเกลี่ยยากพอสมควรเลยนะ พอทาแล้วผิวหน้าขาวมากจ้า สาวๆคนไหนผิวหน้าขาวก็รอดไปจ้า แต่อย่าลืมทาคอด้วยนะจ๊ะ แคทเจอมาแล้ว ลืมทาคอด้วย หน้าวอกเลยจ้า รู้สึกหนักหน้าไปนิด นางค่อนข้างซึมได้ช้า มีกลิ่นอ่อนๆ ไม่ฉุนไม่เหม็นจ้า ให้คะแนน 2:5 จ้ะ

GARNIER: เนื้อบางเบากว่า SPECTRABAN มากเลยจ๊ะ พอทาแล้วเกลี่ยง่ายดีเว่อร์ หน้าไม่วอกจ้ะเนื้อเนียนนะ แต่เสียดาย ซึมช้าไปหน่อยนึง จะแต่งหน้าต่อ ต้องรอแห้งแปปนึง (ต้องเพื่อเวลาแต่งหน้าด้วยนะจ้ะ) แต่รวมๆแล้ว ให้คะแนน 3:5

NIVEA : เกลี่ยง่ายมาก ซึมเร็ว กลิ่นยังเป็นเอกลักษณ์ ของนีเวียอยู่นะจ๊ะ เนื้อบางเบามาก ด้วยความที่เกลี่ยง่ายซึมเร็ว จึงทำให้ประหยัดเวลาไปได้เยอะ (ตื่นสายได้จ้างานนี้ ฮ่าๆๆ) คือเนียนไปกับสีผิวเลยอะ ทาซํ้าได้หลายรอบไม่รู้สึกหนักหน้านะ และไม่เป็นคราบหลังจากแต่งหน้าด้วย โดยรวมค่อนข้างโอเคเลยแคทจัด 4.5:5เลยจ้า

BIORE : เกลี่ยง่ายคล้ายครีมนํ้าแตก ซึมเนียนไปกับผิว แต่แอบเหมือนมีอะไรเคลือบผิวไว้หลังทา อารมณ์คลายๆ Primer นิดหน่อย ให้คะแนน 3.5:5
KA: เกลี่ยยาก พอๆกับ SPECTRABAN เลย ทาแล้วแอบวอกนิดหน่อย มีความซึมช้า แต่หลังซึมแล้วไม่หนักหน้านะจ๊ะ แต่ต้องเสียเวลารอให้ซึมนานไปหน่อย กลิ่นไม่ฉุนมากจ้า 3:5 พอจ้ะ

นี้เป็นข้อมูลเพียงบางส่วนเท่านั้นนะคะ สำหรับใครที่สนใจลองไปหาครีมกันแดดหน้าเหล่านี้มาใช้ดูนะคะ ลองดูชนิดครีมที่ไม่ทำให้คุณแพ้

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.tvpoolonline.com/content/267672

มารู้จักกับคลีนซิ่ง นีเวีย กันค่ะ

เห็นรีวิวมากมายของ คลีนซิ่ง นีเวีย ก็เลยอยากจะรู้ค่ะ ว่าคลีนซิ่ง นีเวีย ดีขนาดนั้นเลยหรอ แล้วในน้ำคลีนซิ่งผสมอะไรบ้าง ทำไมเช็ดแล้วหน้ายังชุ่มชื่น ไม่เหมือนคลีนซิ่งยี่ห้ออื่นที่เช็ดแล้วหน้าแห้ง

ก็เลยไปเจอคลิปนี้ค่ะ เค้าจะพูดถึงส่วนผสมต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง แล้วสารแต่ละตัวเนี่ยดีกับผิวของเราอย่างไร




แนะนำ!! โรคเกี่ยวกับกระดูกพร้อม หมอกระดูกเก่งๆมาให้รักษา

โรคกระดูกพรุน คือภาวะที่ปริมาณแร่ธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นโครงสร้างภายในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงเปราะบางแตกหักง่าย บริเวณที่พบการหักของกระดูกได้บ่อย ได้แก่ ข้อมือ สะโพก และสันหลัง
โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เช่น กินอาหารที่มีแคลเซียมสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับแสงแดดอ่อนๆ เป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุราจัด เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้ ควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยหนุ่มสาว  

กระดูกเสื่อม
     โรคกระดูกเสื่อม คือโรคที่มีการเสื่อมของกระดูกอ่อนของข้อที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อมือ ข้อศอก ข้อไหล่ และข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ซึ่งส่วนประกอบหลักของกระดูกอ่อนเหล่านี้คือน้ำและโปรตีน ที่จะทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น ทนต่อแรงกระแทกและเสียดสี แต่เมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะเกิดการเสื่อมและสึกหรอ
     เมื่อเสื่อมแล้วก็จะเกิดอาการปวดขัดตามข้อ ข้อโปนและผิดรูป มักพบในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหนัก อย่างชาวไร่ชาวนา พ่อค้า แม่ค้า และกรรมกร คนเหล่านี้เมื่อไปโรงพยาบาล (ส่วนใหญ่ไปเป็นประจำ เพราะโรคไม่หาย) ก็จะได้ยาแก้อักเสบ บรรเทาปวด ยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะ แคลเซียม รวมถึงกลูโคซามีน เป็นหลัก
     เรียกว่าถ้าใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า เบิกราชการ หรือบริษัทได้ (ฟรี) ก็จะได้ยากลุ่มนี้กันทุกคน แล้วทราบกันหรือไม่ว่าห้ามกินยาลดกรดกับแคลเซียม เพราะจะไม่ดูดซึม อาจทำให้ท้องผูก และไม่เกิดประโยชน์อะไร กระดูกอ่อนเสื่อมนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแคลเซียม
     การรักษาคือ ถ้าปวดมากก็ใช้ยาบรรเทาปวดหรือลดการอักเสบเป็นครั้งคราว ลดการใช้งานของข้อนั้นๆ บริหารข้อเพื่อสร้างความแข็งแรง รวมถึงอาจใช้ยาเสริมกระดูกพวกกลูโคซามีนช่วยได้บ้าง



     หลายๆคนอาจกำลังตามหาหมอเพื่อรักษาเกี่ยวกับกระดูกหรือข้อให้กับตัวคุณเอง แต่อาจจะยังไม่มั้นใจว่าหมอคนนั้นคนนี้จะดีหรือเปล่า วันนี้เรามีหมอกระดูกเก่งๆ มานำเสนอเผื่อหลายๆคนสนใจwได้ที่นี้ค่ะ http://www.vejthani.com/bangkok-hospital-in-thailand/doctors_information.php

คนรักผิวต้องรู้เกี่ยวกับครีมกันแดดผิวหน้า

ครีมกันแดดผิวหน้า เป็นหนึ่งในครีมบำรุงผิวหน้าที่มีความสำคัญต่อสาวๆหรือหนุ่มๆในยุคนี้เป็นอย่างมาก เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อากาศร้อนขึ้นทุกๆวัน แสงแดดจึงกลายเป็นตัวการร้ายที่ทำให้ผิวเราแห้งเสียและไหม้เกรียม ครีมกันแดดผิวหน้าเหล่านี้จึงเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น เพื่อช่วยปกป้องผิวเราจากเหล่ารังสี UV

          สิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับครีมกันแดดหน้า

          1.ประโยชน์ของการทาครีมกันแดดผิวหน้ามีเยอะมากมาย เช่น ช่วยปกป้องผิวเราจากรังสีUV ปกป้องการเกิดริ้วรอย ป้องกันการเกิดฝ้าและกระ และช่วยไม่ให้ผิวหน้าเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร รวมไปถึงช่วยลดการเกิดมะเร็งผิวหนังอีกด้วย

          2.ไม่ว่าจะครีมกันแดดเทพยี่ห้อไหน ก็ไม่สามารถที่จะปกป้องผิวเราได้100% จากการทาครีมกันแดดหน้าเพียงแค่ครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงต้องทาครีมกันแดดผิวหน้า ทุกๆ2-3ชั่วโมง

          3.ใครที่คิดว่าอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้เผชิญกับแสงแดด ไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดดหน้า คุณคิดผิดอย่างมหันต์เลยค่ะ เพราะภายในบ้านยังมีแสงจากหลอดไฟ หน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อย่างน้อยๆก็ควรจะทาครีมกันแดดผิวหน้าที่มีค่า SPF น้อยๆก็ได้ค่ะ

          4.ควรทาครีมกันแดดหน้าให้พอเหมาะสำหรับใบหน้า ให้ใช้ในขนาดเท่าไข่มุกเม็ดใหญ่2เม็ด เพราะหากทาครีมกันแดดมากเกินไป อาจก่อให้เกิดปัญหาด้านความมันของผิวหน้า หรือทำให้เหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัว เป็นต้น

          5.ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆในช่วงเวลาประมาณ 09.00-16.00 น . แต่ถ้าหากคุณต้องออกไปเผชิญกับแสงแดด นอกจากการทาครีมกันแดดแล้ว คุณก็ต้องป้องกันแสงแดดด้วยวิธีอื่นๆอีกด้วย เช่น กางร่ม สวมใส่เสื้อคลุม ใส่หมวก เป็นต้น


          เห็นไหมค่ะว่าครีมกันแดดผิวหน้า นับว่าเป็นอีกหนึ่งไอเท็มเด็ดที่สาวๆต้องใช้ทุกวันอย่างปฎิเสธไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เราก็ควรที่จะเลือกครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าเราด้วยเช่นกัน และหากใครที่ยังไม่รู้ว่าควรเลือกใช้ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี วันนี้เราก็มีรีวิวครีมกันแดดมาฝากด้วยค่ะ ติดตามได้ที่ http://bit.ly/1UgyOGG



อย่ามองผ่าน ครีมกันแดดหน้า สำคัญไฉน ทริคดีๆในการเลือกใช้ที่คุณไม่ควรพลาด!!

     เพิ่งผ่านช่วงปีใหม่ไป นั้นแสดงให้เห็นว่าหน้าร้อนใกล้เข้ามาทุกที ยิ่งแสงแดดบ้านเราไม่ต้องพูดถึงค่ะ ร้อนตับแลบ ครีมกันแดดหน้า ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้เด็ดขาด ในการช่วยป้องกันผิวหน้าอีกทางนึง เพื่อไม่ให้ผิวของเราถูกทำลาย คล้ำเสียได้

     หลายๆคนอาจตั้งข้อสงสัยว่าผิวหน้าแบบเราๆ ควรใช้ครีมกันแดดผิวหน้าแบบไหนให้เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด จะเลือกตามค่าspf ตามสภาพผิว หรือเลือกตามผลิตภัญฑ์ วันนี้ทุกคนจะหมดข้อสงสัยเพราะที่นี้เรามีคำตอบดีมาฝากค่ะ




เลือกครีมกันแดดทาหน้าแบบไหนถึงจะเหมาะกับเรา ?

เลือกครีมกันแดดหน้าที่เหมาะกับสีผิว เพราะระดับความเข้มของสีผิวเราไม่เท่ากัน คนผิวขาวจะมีความไวต่อแสงสูงกว่าคนที่มีสีผิวที่เข้ม

ควรเลือกให้เหมาะกับกิจกรรมที่เราทำ เช่น ถ้าจะว่ายน้ำ ไปทะเล ควรเลือกผลิตภัณฑ์ประเภททนน้ำ (Waterproof) หรือ ป้องกันน้ำได้ (Water Resistance) ออกแดดปกติ ควรเลือกครีมกันแดดที่ SPF 30+ ถ้าทำงานในร่มใช้ชีวิตปกติ เลือกใช้ SPF 15 ก็เพียงพอแล้ว

เลือกครีมกันแดดทาหน้าให้เหมาะกับสภาพผิว

ผิวมัน : ควรเลือกครีมกันแดดที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจล หรือน้ำนม
ผิวแห้ง : ควรเลือกครีมกันแดดที่มีความเข้มข้นสูง เช่นเนื้อครีม หรือเนื้อโลชั่น
ผิวแพ้ง่ายหรือเป็นสิว : ควรเลือกครีมที่สามารถซึมผ่านผิวได้โดยง่าย และไม่รู้สึกเหนียว เหนอะหนะ


สำหรับใครที่สนใจ เรามีรีวิวครีมกันแดดมาเสนอ ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ http://women.mthai.com/cosmetic/219729.html

เรื่องน่ารู้ หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคที่คนไข้และคนรอบตัวควรระวัง!!


หัวใจจะสูบฉีดเลือด หรือที่เรารู้สึกว่า “หัวใจเต้น” ได้เป็นปกตินั้น ต้องมีกระแสไฟฟ้ากระตุ้นอยู่อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อเป็นทารกอยู่ในท้องแม่

หัวใจได้รับกระแสไฟฟ้ามากระตุ้นที่ส่วนบนแล้วจึงมีการกระจายกระแสไฟฟ้าไปยังส่วนต่างๆ เพื่อหัวใจทั้งสี่ห้องจะได้รับสัญญาณให้กล้ามเนื้อหดตัวและคลายตัวในจังหวะที่ประสานกัน การนำไฟฟ้าของหัวใจที่เกิดขึ้นนี้จะ ผ่านไปตามทางเดินไฟฟ้าซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเฉพาะต่างจากกล้ามเนื้อหัวใจที่มีหน้าที่สูบฉีดเลือด เนื้อเยื่อเหล่านี้เหมือนกับสายไฟที่เดินอยู่ตามผนังหรือฝ้าเพดานในบ้านนั่นเอง
ประเภทของ หัวใจเต้นผิดปกติ ความปกติเรื่องไฟฟ้า ไฟฟ้าของหัวใจมีหลายแบบ  บางครั้งเกิดมีความผิดปรกติของจุดกำเนิดไฟฟ้าหรือการนำไฟฟ้าในหัวใจขึ้น  ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ  เจ้าของหัวใจจะมีอาการใจเต้น  ใจสั่น  บางครั้งอาจมีอาการหน้ามืด  เป็นลม  และวิงเวียนศีรษะ  ผู้ป่วยกลุ่มนี้เรียกว่า “พวกหัวใจรวนเร” เพราะชีพจรเดี๋ยวเต้นเร็วเดี๋ยวเต้นช้าไม่สม่ำเสมอ

ความผิดปกติของการเดินของไฟฟ้าในหัวใจอีกประเภทหนึ่งซึ่งมักเกิดในคนสูงอายุ คือ เมื่อจุดกำเนิดไฟฟ้าหัวใจที่เป็นแหล่งให้พลังงานไฟฟ้าแก่หัวใจเริ่มอ่อนแรงลง คล้ายๆ กับแบตเตอรี่ประจำตัวที่กำลังจะหมดไฟลง   ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีหัวใจเต้นช้าลงๆ เรื่อยๆ ช้าลงมากจนเลือดออกจากหัวใจไม่เพียงพอทำให้สมองขาดเลือดมีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม  หรือบางครั้งถ้ารุนแรงอาจเกิดอัมพาตหรืออัมพฤกษ์ตามมาก็ได้ผู้ป่วยกลุ่มนี้เรียกว่า  “พวกหัวใจอ่อน”เพราะชีพจรเต้นช้า หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้นเอง
พวกหัวใจรวนเร  ความผิดปกติอาจเกิดขึ้นได้จากสองแบบ  ลักษณะแรกเกิดจากความไม่สามัคคีกันของจุดกำเนิดไฟฟ้าของหัวใจ  แทนที่จะทำงานส่งสัญญาณเพียงที่เดียว กลับมีจุดกำเนิดไฟฟ้าหลายๆแห่งขึ้นในหัวใจ  แย่งกันทำงานส่งสัญญาณให้หัวใจทำงานบีบตัวไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอกัน  เพราะได้สัญญาณมาจากจุดกำเนิดไฟฟ้าหลายๆ จุดในเวลาใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยแบบนี้นอกจากมีใจรวนเรแล้ว   น่าจะเป็นกลุ่มที่เรียกว่า  “พวกหลายใจ”   เพราะมีจุดกำเนิดไฟฟ้าของหัวใจหลายๆ แห่ง

พวกใจรวนเรอีกกลุ่มหนึ่ง  เกิดจากการลัดวงจรของการนำไฟฟ้าในหัวใจ  ซึ่งเหมือนกับการลัดวงจรของไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นภายในบ้าน  เมื่อมีการลัดวงจรแล้วแทนที่การนำของกระแสไฟฟ้าจะสม่ำเสมอต่อเนื่องกันไป  กระแสไฟฟ้าที่ลัดวงจรนั้นก็จะส่งสัญญาณย้อนทางกลับไปยังจุดกำเนิดไฟฟ้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้จุดกำเนิดไฟฟ้าส่งกระแสไฟฟ้าออกมากระตุ้นหัวใจใหม่เร็วกว่าปกติ หรือทำให้การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ  ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเรียกว่า “พวกหัวใจซ้ำซ้อน”
การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดปกติ
การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดปกติในสมัยก่อนมีแต่เพียงการรักษาด้วยยาเท่านั้น ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยเหล่านี้จะควบคุมอาการไม่ได้ผล 100% แถมส่วนใหญ่มีผลข้างเคียง บางครั้งทำให้เกิดโรคหัวใจเต้นผิดปรกติในลักษณะอื่นๆ ได้อีกด้วย

จนกระทั่งไม่นานมานี้   มีวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่สามารถสอดใส่สายสวนหัวใจ ลักษณะเหมือนสายไฟเข้าไปตามหลอดเลือดดำที่บริเวณขาหนีบ (คล้าย ๆ กับการสวนฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ) โดยเมื่อสอดสายนี้ขึ้นไปที่หัวใจตามจุดต่างๆและวัดดูการนำไฟฟ้าภายในหัวใจแล้ว  หากพบว่ามีการลัดวงจรหรือจุดกำเนิดไฟฟ้าที่ผิดปรกติในหัวใจ  แพทย์โรคหัวใจซึ่งเป็นผู้ชำนาญเรื่องการนำไฟฟ้า จะสามารถให้การรักษาโดยส่งเคลื่อนสัญญาณวิทยุ (radio frequency) ไปตามสาย ดังกล่าว เกิดพลังงานไปตามสาย เพื่อตัดจุดที่มีการลัดวงจรของกระแสไฟฟ้า หรือ จุดกำเนิดไฟฟ้าที่ผิดปรกติออกไปได้ (ฟังดูแล้วเหมือนนิยายจีนกำลังภายใน”เวลาจี้จุด”)

การรักษาดังกล่าวเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและทำกันบ่อยในปัจจุบันให้ผลดีกว่าการรักษาด้วยยาในระยะยาว  โดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยา ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิต การเต้นผิดปรกติของหัวใจนี้ ถ้าทิ้งไว้นานๆอาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมาได้มาก เช่น อาจเกิดอัมพาต-อัมพฤกษ์  บางครั้งอาจเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ (เมื่อโชคไม่ดี)  ที่หลุดออกจากหัวใจไปอุดตามหลอดเลือดต่างๆ  ทำให้หลอดเลือดอุดตันเฉียบพลันได้  หรือถ้าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติอยู่นานๆ ตลอดเวลาก็อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงลง  เกิดภาวะหัวใจวายได้เหมือนกัน  

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.phyathai.com/medicalcenterdetail_article/1/65/PYT2/th
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากโรงพยาบาลพญาไท

โรคควรระวัง!! มะเร็งกระเพาะอาหาร อาจเกิดขึ้นได้ถ้ากินอาหารอย่างประมาท





อาการของแต่ละบุคคลย่อมมีความแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ระยะแรกของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอาจไม่มีอาการแสดงหรือมีอาการโดยทั่วไปไม่เฉพาะเจาะจง

มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นโรคที่ไม่สามารถทราบสาเหตุที่แน่ชัด โดยส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงจากเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบ็กเตอร์ไพลอไร (Helicobacter Pylori:HP) ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือโรคกระเพาะ ซึ่งเมื่อเป็นเรื้อรัง จะทำให้เป็นโรคนี้มากขึ้น ลักษณะอาการของมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นอย่างไร

มะเร็งกระเพาะอาหาร
อาการของแต่ละบุคคลย่อมมีความแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ระยะแรกของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอาจไม่มีอาการแสดงหรือมีอาการโดยทั่วไปไม่เฉพาะเจาะจงอาจคล้ายกับโรคอื่นๆ รู้สึกอาหารไม่ย่อย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียหรือท้องผูก ท้องอืดหลังกินอาหาร ไม่อยากอาหาร สำหรับอาการมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะลุกลาม อาจมีอาการอ่อนเพลีย อาจเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักลด

ปัจจัยเสี่ยงของโรคประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ปัจจัยเสี่ยงที่มีความเกี่ยวของกับการเกิดเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมากขึ้น ผู้ชายมีความเสี่ยงที่จะเป็นมากกว่าผู้หญิง การรับประทานอาหารปิ้งย่าง หมักดองอาจทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ในขณะเดียวกันการรับประทานผักและผลไม้ก็อาจจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ การติดเชื้อแบคทีเรีย H. Pylori ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร เมื่อติดเชื้อนี้จะทำให้มีอาการอักเสบและเกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหารจึงเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร การสูบบุหรี่ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้สูงขึ้น หรือจากโรคต่างๆ เช่น กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง และโรคเลือดบางชนิด

การตรวจวินิจฉัยโรค
ลักษณณะตามอาการที่กล่างมาข้างต้นจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดด้วยการส่องกล้อง เพื่อให้เห็นภายในกระเพาะอาหาร และตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ, การอัลตราซาวด์ ทำให้เห็นความลึกของกระเพาะอาหาร หรือการกระจายของมะเร็ง, กลืนแป้งสารทึบแสงทำการเอ็กซเรย์จึงจะสามารถเห็นความผิดปกติ เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ จึงจะเห็นตำแหน่งของโรคและการกระจายของโรคได้ละเอียดมากกว่าการเอ็กซเรย์ธรรมดา

ขั้นตอนการรักษาทำได้อย่างไร
สำหรับการรักษา แนวทางเลือกการรักษาขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่งของก้อนและระยะการแพร่กระจายของโรค การรักษาประกอบไปด้วยการผ่าตัดรังสีรักษา และการให้ยาเคมีบำบัด

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากโรงพยาบาลเปาโล